ข้อควรรู้ก่อนคลอดลูกธรรมชาติมีอะไรบ้าง พร้อมเทียบข้อดีข้อเสีย

การคลอดลูกเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นสำหรับคุณแม่ทุกคน แต่ก็อาจทำให้รู้สึกกังวลได้เช่นกัน โดยเฉพาะสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับกระบวนการคลอด การเตรียมตัวและทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการคลอดลูกธรรมชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกมั่นใจและพร้อมรับมือกับการคลอดได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในบทความนี้ PMG HOSPITAL จะพาคุณไปทำความรู้จักกับการคลอดลูกธรรมชาติอย่างละเอียด ตั้งแต่ข้อดีข้อเสีย ขั้นตอนการคลอด ไปจนถึงสัญญาณเตือนว่าใกล้คลอด เพื่อให้คุณแม่มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการคลอดลูกธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

การคลอดลูกธรรมชาติคืออะไร?

การคลอดลูกธรรมชาติคืออะไร

การคลอดลูกธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า “คลอดธรรมชาติ” คือการคลอดลูกด้วยวิธีการเบ่งคลอดเองผ่านช่องคลอด โดยไม่ใช้การผ่าตัด วิธีนี้เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ปกติที่ไม่มีความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ทั้งนี้ การเลือกวิธีคลอดขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของแม่และทารกเป็นสำคัญ

การคลอดลูกธรรมชาติเป็นวิธีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ เนื่องจากมีประโยชน์หลายอย่างทั้งต่อคุณแม่และทารก เช่น น้ำนมมาเร็ว เสียเลือดน้อย ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลน้อย และแผลหายเร็วกว่าการผ่าคลอด

การคลอดธรรมชาติมีกี่ประเภท?

การคลอดธรรมชาติสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • การคลอดลูกธรรมชาติแบบคลอดในน้ำ

  • การคลอดลูกธรรมชาติแบบคลอดในน้ำ

    การคลอดในน้ำเป็นวิธีการคลอดธรรมชาติที่คุณแม่จะอยู่ในอ่างน้ำอุ่นระหว่างกระบวนการคลอด วิธีนี้ช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายและลดความเจ็บปวดได้ อย่างไรก็ตาม การคลอดในน้ำไม่เหมาะกับคุณแม่ที่มีโรคติดต่อ ติดเชื้อ ความดันสูง ครรภ์เป็นพิษ ตั้งครรภ์ลูกแฝด มีประวัติคลอดยากหรือคลอดก่อนกำหนด รวมไปถึงกรณีที่ทารกมีน้ำหนักตัวมาก ตัวใหญ่ และไม่อยู่ในท่าคลอดปกติ

  • การคลอดลูกธรรมชาติด้วยการเบ่งคลอดเอง

  • การคลอดด้วยวิธีนี้เป็นการคลอดแบบทั่วไปที่คุณแม่จะเบ่งคลอดเองผ่านช่องคลอด เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีความเสี่ยง และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยในขณะตั้งครรภ์

    ข้อดีและข้อเสียของการคลอดลูกธรรมชาติ

    ข้อดีและข้อเสียของการคลอดลูกธรรมชาติ

    การคลอดลูกธรรมชาติมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งคุณแม่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อเป็นข้อมูลในการเตรียมความพร้อมทั้งก่อนและหลังคลอดลูกด้วยวิธีธรรมชาติ

    ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ

    • ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว โดยหลังคลอด คุณแม่จะสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องตัวกว่าการผ่าคลอด
    • เสียเลือดน้อยกว่าการผ่าตัดคลอด
    • ไม่มีแผลผ่าตัด หรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
    • ทารกได้รับภูมิคุ้มกันจากเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดของคุณแม่
    • ช่วยบีบของเหลวออกจากปอดของทารก ลดความเสี่ยงปัญหาด้านการหายใจ
    • สามารถให้นมลูกได้ทันทีหลังคลอด

    ข้อเสียของการคลอดธรรมชาติ

    • ใช้เวลาในการคลอดนานกว่าการผ่าตัดคลอด
    • อาจมีความเจ็บปวดมากระหว่างการคลอด
    • ไม่สามารถกำหนดวันและเวลาคลอดที่แน่นอนได้
    • อาจเกิดการฉีกขาดของช่องคลอดหรือฝีเย็บ
    • ในบางกรณี อาจต้องเปลี่ยนเป็นการผ่าตัดคลอดฉุกเฉินหากมีภาวะแทรกซ้อน

    ขั้นตอนการคลอดธรรมชาติ

    ขั้นตอนการคลอดธรรมชาติ

    การคลอดลูกธรรมชาติแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ ได้แก่ ระยะเจ็บท้อง ระยะเบ่งคลอด และระยะคลอดรก โดยแต่ละระยะมีรายละเอียดดังนี้

    ระยะที่ 1: ระยะเจ็บท้อง

    ระยะเจ็บท้องเป็นระยะที่ยาวนานที่สุดของการคลอด โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะย่อย ดังนี้

    • ระยะเริ่มต้น

    ในระยะนี้ ปากมดลูกจะเริ่มนิ่มลง บางลง และเริ่มเปิดขยายช้า ๆ ประมาณ 3-4 เซนติเมตร มดลูกจะบีบรัดตัวครั้งละ 30-45 วินาที ทุก ๆ 5-30 นาที ระยะนี้อาจใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือบางคนอาจใช้เวลา 2-3 วัน คุณแม่อาจรู้สึกหน่วง ๆ หรือรู้สึกถึงการหดตัว แต่ก็ยังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้

    • ระยะเร่ง

    ในระยะนี้ ปากมดลูกจะขยายมากขึ้นประมาณ 7 เซนติเมตร การหดตัวของมดลูกจะถี่และรุนแรงขึ้น โดยมดลูกจะบีบรัดตัวครั้งละ 45-60 วินาที ทุก ๆ 3-5 นาที คุณแม่จะรู้สึกเจ็บครรภ์มากขึ้นตามลำดับ

    • ระยะเปลี่ยนผ่าน

    ระยะนี้เป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดสำหรับคุณแม่ ปากมดลูกจะขยายประมาณ 8-10 เซนติเมตร มดลูกจะบีบรัดตัวครั้งละ 60-90 วินาที ทุก ๆ 0.5-3 นาที คุณแม่จะรู้สึกถึงแรงเบ่งและอาจมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    ระยะที่ 2_ ระยะเบ่งคลอด

    ระยะที่ 2: ระยะเบ่งคลอด

    ในระยะนี้ ปากมดลูกจะเปิดออกอย่างเต็มที่ พร้อมทำการคลอด คุณแม่จะรู้สึกถึงแรงกระตุ้นให้เบ่งคลอด แพทย์จะบอกจังหวะในการเบ่งเพื่อให้คุณแม่เบ่งคลอดอย่างมีประสิทธิภาพ ทารกจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมาผ่านช่องคลอด จนกระทั่งคลอดออกมา

    ระยะที่ 3: ระยะคลอดรก

    หลังจากทารกคลอดออกมาแล้ว คุณแม่จะต้องคลอดรกและเยื่อหุ้มเซลล์ออกมา โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีและไม่รู้สึก จากนั้นแพทย์จะตรวจสอบว่ารกคลอดออกมาหมดหรือไม่ เพื่อป้องกันการตกเลือดหรือการติดเชื้อ แล้วทำการเย็บแผลหรือรอยฉีกขาดเข้าด้วยกัน

    อาการที่บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังจะคลอดมีอะไรบ้าง?

    อาการที่บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังจะคลอดมีอะไรบ้าง

    การรู้จักสัญญาณเตือนว่าใกล้คลอดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณแม่เตรียมตัวได้ทันท่วงที โดยอาการที่บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังจะคลอดมีดังนี้

    1. เจ็บท้องคลอด

    อาการเจ็บท้องคลอดจะมีลักษณะเป็นการบีบและคลายตัวของมดลูกเป็นจังหวะ โดยมดลูกจะบีบตัวประมาณ 45-60 วินาที และคลายตัวประมาณ 2-3 นาที เป็นแบบนี้ต่อเนื่องกัน 2-3 รอบ แสดงว่าคุณแม่กำลังจะคลอดแล้ว อาการนี้มักจะเกิดขึ้นหลังอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ถ้าคุณแม่พบอาการเช่นนี้ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที

    2. มีมูกออกจากช่องคลอด

    โดยปกติมูกจะอุดอยู่บริเวณปากมดลูก เมื่อปากมดลูกเริ่มเปิด มูกที่อยู่บริเวณปากมดลูกก็จะหลุดออกมา อาจมีลักษณะเป็นมูกใส ๆ หรือมีเลือดปนออกมาด้วย การมีมูกออกมาเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด

    3. มีน้ำคร่ำออกมา

    น้ำคร่ำมีลักษณะเป็นน้ำใส ๆ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น อาจไหลออกมาเป็นปริมาณมากหรือน้อยก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคน หากคุณแม่สังเกตเห็นว่ามีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอดอย่างต่อเนื่อง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว

    4. รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง

    ในช่วงใกล้คลอด คุณแม่อาจรู้สึกว่าลูกในครรภ์ดิ้นน้อยลงกว่าปกติ เนื่องจากทารกเริ่มเคลื่อนตัวลงต่ำเข้าสู่อุ้งเชิงกรานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกว่าลูกไม่ดิ้นเลยเป็นเวลานาน ควรรีบไปแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมทันที

    คลอดลูกธรรมชาติ VS ผ่าคลอด แบบไหนดีกว่า

    คลอดลูกธรรมชาติ VS ผ่าคลอด แบบไหนดีกว่า

    การเลือกระหว่างการคลอดลูกธรรมชาติและการผ่าคลอดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพร่างกายของคุณแม่ สุขภาพของทารก และคำแนะนำของแพทย์ ดังนั้นเรามาดูข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างสองวิธีนี้อย่างคร่าว ๆ กันดีกว่า

    คลอดลูกธรรมชาติ

    การคลอดลูกธรรมชาติเหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ และทารกอยู่ในท่าปกติ ซึ่งข้อดีต่อแม่และทารก รวมถึงข้อเสียที่ควรรู้มีดังนี้

    • ข้อดีต่อแม่: เนื่องจากมีการผ่าตัด ทำให้เสียเลือดน้อยและฟื้นตัวได้เร็วกว่า รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้คุณแม่ยังสามารถให้นมลูกหลังคลอดได้ทันทีอีกด้วย
    • ข้อดีต่อทารก: ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันจากช่องคลอดของแม่ อีกทั้งการคลอดธรรมชาติยังช่วยขับของเหลวออกจากปอด ลดความเสี่ยงปัญหาระบบหายใจได้
    • ข้อเสีย: อาจใช้เวลาในการคลอดนาน และมีความเจ็บปวดมากกว่าการผ่าคลอด นอกจากนี้ยังอาจเกิดการฉีกขาดของช่องคลอดหรือฝีเย็บได้ด้วย

    ผ่าคลอด

    การผ่าคลอดเหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ หรือมีความเสี่ยงในการคลอดธรรมชาติ เช่น ทารกตัวโต รกเกาะต่ำ หรือทารกอยู่ในท่าผิดปกติ

    • ข้อดีต่อแม่: การผ่าคลอดสามารถกำหนดวันและเวลาในการคลอดได้ นอกจากนี้คุณแม่ยังไม่ต้องทนความเจ็บปวดจากการเบ่งคลอด และช่วยลดความเสี่ยงการฉีกขาดของช่องคลอดได้เป็นอย่างดี
    • ข้อดีต่อทารก: ช่วยลดความเสี่ยงภาวะขาดออกซิเจนระหว่างคลอด ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน

    ข้อเสีย: เนื่องจากมีแผลผ่าตัดทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ นอกจากนี้หลังคลอดเสร็จ คุณแม่จะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนาน และมีผลต่อการให้นมลูกในระยะแรก อีกทั้งยังอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้ด้วย เช่น รกเกาะต่ำ

    รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการคลอดลูกธรรมชาติ

    FAQ: รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการคลอดลูกธรรมชาติ

    1. คลอดธรรมชาติต้องกรีดช่องคลอดไหม?

    ไม่จำเป็นเสมอไป การตัดฝีเย็บ (Episiotomy) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ปัจจุบันมีแนวโน้มลดการตัดฝีเย็บลง เนื่องจากพบว่าอาจไม่ได้ช่วยลดปัญหาการฉีกขาดของช่องคลอดและอาจทำให้แผลหายช้า แต่ในบางกรณี เช่น ทารกตัวโต หรือมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยคลอด แพทย์อาจพิจารณาตัดฝีเย็บเพื่อช่วยให้คลอดได้ง่ายขึ้น

    2. คลอดธรรมชาติพักฟื้นกี่วัน?

    โดยทั่วไป คุณแม่ที่คลอดธรรมชาติจะใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ คุณแม่สามารถกลับบ้านได้ และจะใช้เวลาพักฟื้นที่บ้านอีกประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายกลับสู่สภาพปกติ

    3. คลอดธรรมชาติใช้เวลากี่นาที?

    ระยะเวลาในการคลอดธรรมชาติแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยเฉลี่ยแล้ว สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก อาจใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 12-18 ชั่วโมงนับตั้งแต่ระยะเจ็บท้อง ส่วนคุณแม่ที่เคยคลอดมาก่อน อาจใช้เวลาน้อยกว่านี้ ทั้งนี้ ระยะเบ่งคลอดซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของการคลอด อาจใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่นาทีไปจนถึง 2-3 ชั่วโมง

    4. คลอดธรรมชาติช่องคลอดหลวมไหม?

    หลังคลอดธรรมชาติ ช่องคลอดอาจมีความยืดหยุ่นลดลงชั่วคราว แต่โดยทั่วไปแล้ว กล้ามเนื้อช่องคลอดจะค่อย ๆ กลับสู่สภาพเดิมภายใน 6-8 สัปดาห์หลังคลอด ซึ่งคุณแม่สามารถทำกายภาพบำบัดกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercise) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อช่องคลอดกระชับและแข็งแรงขึ้นได้

    5. คลอดธรรมชาติเจ็บมากไหม? น่ากลัวไหม?

    ความเจ็บปวดในการคลอดธรรมชาติเป็นเรื่องปกติและแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจรู้สึกเจ็บมาก ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเจ็บน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีวิธีการบรรเทาความเจ็บปวดหลายวิธี เช่น การฝึกหายใจ การทำสมาธิ การใช้ยาระงับปวด หรือการฉีดยาชาเฉพาะที่ ซึ่งจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายและจัดการกับความเจ็บปวดได้ดีขึ้น

    สรุปบทความ

    สรุปบทความ

    การคลอดลูกธรรมชาติเป็นวิธีการคลอดที่ปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับคุณแม่ส่วนใหญ่ที่มีการตั้งครรภ์ปกติ อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ส่งผลดีต่อแม่และทารกมากมาย เพราะร่างกายของคุณแม่จะสามารถฟื้นตัวได้เร็ว ให้นมลูกได้ทันที ในส่วนของทารกที่คลอดออกมาก็จะได้รับภูมิคุ้มกันจากช่องคลอดของแม่ ช่วยขับของเหลวออกจากปอด และลดความเสี่ยงปัญหาระบบหายใจได้ 

    อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติก็คือ การเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ การดูแลสุขภาพตนเองอย่างดีตลอดการตั้งครรภ์ และการปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุด

    สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่กำลังมองหาโรงพยาบาลเพื่อฝากครรภ์และดูแลตลอดการตั้งครรภ์ PMG HOSPITAL พร้อมให้การดูแลคุณด้วยความใส่ใจ โดยคุณสามารถติดต่อเราได้ผ่านช่องทางดังนี้

    Health Articles