ฝากครรภ์ (ANC) คืออะไร ควรเริ่มฝากตอนไหน แต่ละเดือนตรวจอะไรบ้าง

การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่สำคัญและน่าตื่นเต้นสำหรับคุณแม่ทุกคน แต่ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบในการดูแลสุขภาพของตนเองและทารกในครรภ์ที่ต้องให้ความใส่ใจอย่างมากไม่แพ้กัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ฝากครรภ์ (ANC : Antenatal Care) ที่นับว่าเป็นขั้นตอนสำคัญและไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด 

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับการฝากครรภ์อย่างละเอียด เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจความสำคัญของการฝากครรภ์ (ANC : Antenatal Care) กันมากขึ้น แล้วการฝากครรภ์ (ANC : Antenatal Care) คืออะไร? ควรเริ่มฝากครรภ์เมื่อไหร่? ครั้งแรกต้องเตรียมตัวอย่างไร? มีความสำคัญยังไงบ้าง? ไปหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้ได้เลย

การฝากครรภ์ (ANC : Antenatal Care) คืออะไร?

การฝากครรภ์ (ANC : Antenatal Care) คือ การดูแลสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ทราบว่าตั้งครรภ์ไปจนถึงวันคลอด โดยการฝากครรภ์ประกอบด้วยการพบแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เป็นระยะ ๆ เพื่อตรวจสุขภาพ ติดตามการเจริญเติบโตของทารก และรับคำแนะนำในการดูแลตนเองระหว่างตั้งครรภ์ 

นอกจากนี้ยังมีการดูแลครอบคลุมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจเลือด การอัลตราซาวด์ การให้วิตามินบำรุงครรภ์ และการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวระหว่างตั้งครรภ์ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อดูแลให้คุณแม่และทารกมีสุขภาพแข็งแรงตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ และเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอด

ความสำคัญของการฝากครรภ์

ความสำคัญของการฝากครรภ์

การฝากครรภ์ (ANC : Antenatal Care) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ ด้วยเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น

  • การติดตามสุขภาพของคุณแม่: การฝากครรภ์ช่วยให้แพทย์สามารถติดตามสุขภาพของคุณแม่อย่างใกล้ชิด ตรวจหาและรักษาปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ได้อย่างทันท่วงที เช่น ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือภาวะโลหิตจาง
  • การติดตามพัฒนาการของทารก: ผ่านการตรวจอัลตราซาวด์และการตรวจร่างกายคุณแม่ แพทย์สามารถติดตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติต่าง ๆ ได้แต่เนิ่น ๆ
  • การป้องกันภาวะแทรกซ้อน: การฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอด เช่น การคลอดก่อนกำหนด ภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือทารกมีน้ำหนักตัวน้อยเกินไป
  • การให้คำแนะนำและความรู้: ในระหว่างการฝากครรภ์ คุณแม่จะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องระหว่างตั้งครรภ์ เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และการเตรียมตัวสำหรับการคลอด
  • การให้วิตามินและอาหารเสริม: การฝากครรภ์ช่วยให้คุณแม่ได้รับวิตามินและอาหารเสริมที่จำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์ เช่น กรดโฟลิก ธาตุเหล็ก และแคลเซียม ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์
  • การคัดกรองโรคทางพันธุกรรม: ในระหว่างการฝากครรภ์ แพทย์สามารถทำการตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น กลุ่มอาการดาวน์ หรือธาลัสซีเมีย ซึ่งช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเตรียมตัวและวางแผนการดูแลลูกน้อยได้อย่างเหมาะสม

การสร้างความมั่นใจ: การฝากครรภ์ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ ลดความกังวล และช่วยให้คุณแม่สามารถเตรียมตัวสำหรับการเป็นคุณแม่ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

สมุดฝากครรภ์คืออะไร

สมุดฝากครรภ์คืออะไร?

สมุดฝากครรภ์ เป็นเอกสารสำคัญที่คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนจะได้รับเมื่อเริ่มฝากครรภ์ครั้งแรก เปรียบเสมือนบันทึกสุขภาพส่วนตัวของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ สมุดนี้มีบทบาทสำคัญในการติดตามพัฒนาการของการตั้งครรภ์และเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างคุณแม่กับบุคลากรทางการแพทย์ โดยภายในสมุดฝากครรภ์จะประกอบด้วยข้อมูลสำคัญหลายส่วน ได้แก่

  • ข้อมูลส่วนตัวของคุณแม่: เช่น ชื่อ-นามสกุล อายุ ที่อยู่ และหมายเลขติดต่อฉุกเฉิน
  • ประวัติทางการแพทย์: รวมถึงโรคประจำตัว การแพ้ยา และประวัติการตั้งครรภ์ในอดีต (ถ้ามี)
  • ข้อมูลการตั้งครรภ์ปัจจุบัน: วันที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้าย วันกำหนดคลอดโดยประมาณ
  • บันทึกการฝากครรภ์แต่ละครั้ง: ซึ่งจะรวมถึงน้ำหนัก ความดันโลหิต ผลการตรวจปัสสาวะ การวัดความสูงของมดลูก และการฟังเสียงหัวใจทารก
  • ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เช่น ผลการตรวจเลือด การคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • บันทึกการอัลตราซาวด์: รายละเอียดเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์
  • คำแนะนำด้านสุขภาพ: ข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการ การออกกำลังกาย และการปฏิบัติตัวระหว่างตั้งครรภ์
  • ข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาณอันตรายที่ควรสังเกต: เช่น อาการเลือดออก ปวดท้องรุนแรง หรือน้ำคร่ำแตก
  • แผนการคลอด: รายละเอียดเกี่ยวกับการเตรียมตัวสำหรับการคลอดและความต้องการเฉพาะของคุณแม่

ดังนั้น คุณแม่จึงควรพกสมุดฝากครรภ์ติดตัวไปทุกครั้งที่ไปพบแพทย์หรือเข้ารับบริการทางการแพทย์ใด ๆ  และควรเก็บรักษาอย่างดีเพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหาย นอกจากนี้ ควรศึกษาข้อมูลในสมุดฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เข้าใจสถานะสุขภาพของตนเองและลูกน้อยในครรภ์ได้ดียิ่งขึ้น

ควรเริ่มฝากครรภ์เมื่อไหร่

ควรเริ่มฝากครรภ์เมื่อไหร่?

คำถามที่พบบ่อยสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็คือ “ควรเริ่มฝากครรภ์เมื่อไหร่?” คำตอบคือ ยิ่งเร็วยิ่งดี! โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้เริ่มฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์ หรืออย่างช้าที่สุดไม่ควรเกิน 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ แน่นอนว่าการเริ่มฝากครรภ์เร็วนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด ไม่ว่าจะเป็น

  • ยืนยันการตั้งครรภ์: แพทย์สามารถยืนยันการตั้งครรภ์และประเมินอายุครรภ์ได้อย่างแม่นยำ
  • ตรวจหาความเสี่ยงแต่เนิ่น ๆ : สามารถตรวจพบและจัดการกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์
  • เริ่มให้วิตามินที่จำเป็น: โดยเฉพาะกรดโฟลิก ซึ่งมีความสำคัญมากในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
  • วางแผนการดูแลครรภ์: แพทย์สามารถวางแผนการดูแลครรภ์ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่คุณแม่มีโรคประจำตัวหรือมีความเสี่ยงสูง
  • ให้คำแนะนำเบื้องต้น: คุณแม่จะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในช่วงแรกของการตั้งครรภ์
การฝากครรภ์ควรทำกี่ครั้ง

การฝากครรภ์ควรทำกี่ครั้ง?

จำนวนครั้งของการฝากครรภ์อาจแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละประเทศและสถานพยาบาล รวมถึงสภาวะสุขภาพของคุณแม่และทารก อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ฝากครรภ์อย่างน้อย 8 ครั้งตลอดการตั้งครรภ์ โดยทั่วไป ตารางการฝากครรภ์อาจเป็นดังนี้

  • ไตรมาสที่ 1 (สัปดาห์ที่ 1-12): ฝากครรภ์ 1-2 ครั้ง
  • ไตรมาสที่ 2 (สัปดาห์ที่ 13-28): ฝากครรภ์ทุก 4 สัปดาห์
  • ไตรมาสที่ 3 (สัปดาห์ที่ 29-40): ฝากครรภ์ทุก 2-3 สัปดาห์ และทุกสัปดาห์ในเดือนสุดท้าย

สำหรับคุณแม่ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีภาวะแทรกซ้อน อาจต้องพบแพทย์บ่อยกว่านี้ตามคำแนะนำของแพทย์

การฝากครรภ์ตลอด 9 เดือน ต้องตรวจอะไรบ้าง

การฝากครรภ์ตลอด 9 เดือน ต้องตรวจอะไรบ้าง?

การฝากครรภ์ (ANC : Antenatal Care) เป็นกระบวนการสำคัญในการดูแลสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ตลอดระยะเวลา 9 เดือน โดยแบ่งออกเป็น 3 ไตรมาส แต่ละไตรมาสมีการตรวจที่แตกต่างกันไปตามพัฒนาการของทารกและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

ไตรมาสที่ 1 (ช่วงอายุครรภ์ 1-14 สัปดาห์)

ในช่วงนี้ สูตินรีแพทย์จะนัดตรวจทุก ๆ  4 สัปดาห์ เพื่อประเมินสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อย รวมถึงวางแผนการดูแลตั้งแต่เริ่มต้น การตรวจในไตรมาสแรกประกอบด้วย

  1. ตรวจปัสสาวะ เพื่อวัดระดับโปรตีน น้ำตาล และตรวจหาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
  2. ตรวจเลือด เพื่อหากรุ๊ปเลือด ตรวจหาโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ไวรัสตับอักเสบบี ซิฟิลิส และตรวจหาพาหะธาลัสซีเมีย
  3. ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม (NIPT) ในช่วงอายุครรภ์ 12-16 สัปดาห์ เพื่อหาสารบ่งชี้ภาวะดาวน์ซินโดรมและความผิดปกติทางพันธุกรรมอื่น ๆ
  4. ตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้องหรือช่องคลอด เพื่อระบุอายุครรภ์ คาดการณ์วันคลอด ตรวจการตั้งครรภ์ปกติในมดลูก ตรวจครรภ์แฝด และตรวจหาความผิดปกติของโครงสร้างอวัยวะของทารก
  5. ตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อป้องกันฟันผุที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์
  6. ประเมินสุขภาพจิต สภาพอารมณ์ ความเครียด และอาการซึมเศร้า
  7. ให้วิตามินบำรุงครรภ์ เช่น ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก และแคลเซียม
ตรมาสที่ 2 (ช่วงอายุครรภ์ 15-28 สัปดาห์)

ตรมาสที่ 2 (ช่วงอายุครรภ์ 15-28 สัปดาห์)

ในไตรมาสที่ 2 สูตินรีแพทย์จะนัดตรวจทุก 3-4 สัปดาห์ เพื่อติดตามพัฒนาการของทารกในครรภ์และป้องกันภาวะแทรกซ้อน การตรวจในช่วงนี้ประกอบด้วย

  • ตรวจเลือดเพื่อคัดกรองความเสี่ยงโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • ตรวจปัสสาวะเพื่อวัดระดับโปรตีนและน้ำตาล
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ คอตีบ บาดทะยัก และไอกรน ตามความเหมาะสม
  • ตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้องและช่องคลอด เพื่อตรวจเพศทารก ติดตามการเจริญเติบโต ตรวจความสมบูรณ์ของอวัยวะ และวัดความยาวปากมดลูก
  • เจาะตรวจน้ำคร่ำเพื่อหาโครโมโซมผิดปกติ (Amniocentesis) ในกรณีที่มีความเสี่ยงภาวะดาวน์ซินโดรม
  • พิจารณาให้วัคซีนป้องกัน COVID-19 ตามความเหมาะสม
  • ให้วิตามินบำรุงครรภ์อย่างต่อเนื่อง

ไตรมาสที่ 3 (ช่วงอายุครรภ์ 29-40 สัปดาห์)

ในไตรมาสสุดท้าย สูตินรีแพทย์จะนัดตรวจถี่ขึ้นเป็นทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอด การตรวจในช่วงนี้ประกอบด้วย

  • ตรวจเลือดเพื่อดูความเข้มข้นของเลือด ตรวจหาโรคติดเชื้อ และตรวจซิฟิลิส
  • ตรวจหาเชื้อสเตร็ปโตคอคคัสกรุ๊ปบี (GBS)
  • ตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้องเพื่อประเมินน้ำหนักและสุขภาพของทารก
  • ตรวจประเมินท่าของทารก ระดับยอดมดลูก และการกลับหัวของทารกลงสู่อุ้งเชิงกราน
  • สอนการสังเกตและนับการดิ้นของทารก
  • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาการนำก่อนคลอดและอาการผิดปกติที่ควรรีบมาโรงพยาบาล
  • ให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพ โภชนาการ และการเตรียมตัวเป็นคุณพ่อคุณแม่
  • วางแผนการคลอดและการคุมกำเนิดหลังคลอด
  • ให้วิตามินบำรุงครรภ์อย่างต่อเนื่อง
การเตรียมตัวสำหรับการฝากครรภ์

การเตรียมตัวสำหรับการฝากครรภ์

การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การฝากครรภ์เป็นไปอย่างราบรื่นและได้ประโยชน์สูงสุด ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรเตรียมสำหรับการฝากครรภ์

  • บัตรประจำตัวประชาชนหรือเอกสารยืนยันตัวตน
  • สมุดบันทึกสุขภาพ (ถ้ามี)
  • ประวัติการแพ้ยาหรือการเจ็บป่วยในอดีต
  • ข้อมูลเกี่ยวกับประจำเดือนครั้งสุดท้าย
  • รายการคำถามหรือข้อสงสัยที่ต้องการถามแพทย์
  • ปากกาและสมุดจดบันทึก

นอกจากนี้ คุณแม่ยังควรเตรียมตัวทางด้านร่างกายและจิตใจด้วย เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพยายามผ่อนคลายความเครียด เป็นต้น

ขั้นตอนในการฝากครรภ์

ขั้นตอนในการฝากครรภ์

การฝากครรภ์ (ANC : Antenatal Care) แต่ละครั้งอาจมีขั้นตอนที่แตกต่างกันไปตามอายุครรภ์และสภาวะสุขภาพของคุณแม่ แต่โดยทั่วไปแล้ว มักประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้

  • การซักประวัติ: แพทย์จะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ ประวัติครอบครัว และอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์
  • การตรวจร่างกาย: รวมถึงการชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต และตรวจร่างกายทั่วไป
  • การตรวจครรภ์: แพทย์จะวัดขนาดของมดลูกและตรวจฟังเสียงหัวใจทารก
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: อาจรวมถึงการตรวจเลือดเพื่อหาระดับฮีโมโกลบิน กรุ๊ปเลือด การติดเชื้อต่าง ๆ และการตรวจปัสสาวะ
  • การอัลตราซาวด์: เพื่อตรวจดูการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก รวมถึงตำแหน่งของรก
  • การให้วิตามินและอาหารเสริม: แพทย์จะสั่งจ่ายวิตามินบำรุงครรภ์และอาหารเสริมที่จำเป็น
  • การให้คำแนะนำ: เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวระหว่างตั้งครรภ์ โภชนาการ และการเตรียมตัวสำหรับการคลอด
  • การนัดหมายครั้งต่อไป: แพทย์จะนัดหมายสำหรับการฝากครรภ์ครั้งถัดไป
การดูแลตนเองระหว่างการฝากครรภ์

การดูแลตนเองระหว่างการฝากครรภ์

นอกเหนือจากการพบแพทย์ตามนัด การดูแลตนเองที่ดีระหว่างการตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ โดยการดูแลตนเองระหว่างตั้งครรภ์เพื่อสุขภาพที่ดีของทารกในครรภ์มีดังนี้

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน ผัก ผลไม้ และธัญพืช
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
  • ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน การว่ายน้ำ หรือการทำโยคะสำหรับคนท้อง (ภายใต้คำแนะนำของแพทย์)
  • พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้สารเสพติด
  • รับประทานวิตามินบำรุงครรภ์ ตามที่แพทย์สั่ง
  • สังเกตอาการผิดปกติ และรีบปรึกษาแพทย์หากมีอาการผิดปกติใด ๆ
  • จัดการความเครียด ด้วยวิธีการผ่อนคลายต่าง ๆ  เช่น การฟังเพลง การทำสมาธิ หรือการพูดคุยกับคนใกล้ชิด

การฝากครรภ์คุณภาพคืออะไร?

การฝากครรภ์คุณภาพ หมายถึง การฝากครรภ์ที่ครอบคลุมทุกด้านของการดูแลสุขภาพมารดาและทารก โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้

  • การเริ่มฝากครรภ์แต่เนิ่น ๆ : ควรเริ่มฝากครรภ์ภายใน 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
  • การฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ: ตามตารางนัดหมายที่แพทย์กำหนด
  • การตรวจคัดกรองครบถ้วน: ทั้งการตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการอัลตราซาวด์
  • การให้คำปรึกษาและความรู้: เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ การเตรียมตัวคลอด และการเลี้ยงดูทารก
  • การดูแลแบบองค์รวม: คำนึงถึงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณแม่
  • การเข้าถึงบริการฉุกเฉิน: ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือปัญหาเร่งด่วน
ประโยชน์ของการฝากครรภ์คุณภาพ

ประโยชน์ของการฝากครรภ์คุณภาพ

การฝากครรภ์คุณภาพมีประโยชน์มากมายทั้งต่อคุณแม่และทารก ดังนี้

  • ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์และการคลอด
  • เพิ่มโอกาสในการคลอดทารกที่มีสุขภาพแข็งแรง
  • ช่วยให้คุณแม่มีความรู้และความมั่นใจในการดูแลตนเองและทารก
  • ช่วยในการวางแผนครอบครัวและการเตรียมตัวเป็นคุณแม่
  • ลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตของมารดาและทารกแรกเกิด

สรุปบทความ

การฝากครรภ์ (ANC : Antenatal Care) เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับสุขภาพของทั้งคุณแม่และลูกน้อย แน่นอนว่าการให้ความสำคัญกับการฝากครรภ์และการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้การตั้งครรภ์เป็นประสบการณ์ที่ปลอดภัยและน่าจดจำ พร้อมที่จะต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัวด้วยความมั่นใจและความสุข

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ดูแลการตั้งครรภ์ของคุณตั้งแต่การฝากครรภ์ การอัลตร้าซาวด์ลูกน้อย ไปจนถึงการทำคลอด และดูแลลูกน้อยของคุณ PMG HOSPITAL พร้อมให้การดูแลคุณด้วยความใส่ใจในทุกขั้นตอน โดยคุณสามารถติดต่อเราได้ผ่านช่องทางดังนี้

Health Articles