รู้เร็วรักษาได้ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร ป้องกันและรักษายังไงบ้าง

โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร

โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย โดยปกติแล้วมักจะพบในผู้สูงอายุ แต่ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ในปัจจุบันสามารถพบโรคนี้ในผู้ที่มีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งความอันตรายของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบก็คือ เป็นโรคที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อมีการแสดงอาการของโรคออกมาอย่างชัดเจน

ดังนั้น เพื่อให้คุณรู้เท่าทันว่าโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีอาการอย่างไร? PMG HOSPITAL จึงรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาไว้ในบทความนี้ แล้วโรคเส้นเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร? มีอาการยังไงบ้าง? มีวิธีป้องกันและวิธีรักษาอย่างไร? ไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันได้เลย

โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร?

โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือที่เรียกอีกชื่อว่า โรคหลอดเลือดหัวใจ เกิดจากการที่มีสิ่งแปลกปลอมไปกีดขวางการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

  • การสะสมของไขมันและคอเลสเตอรอล: เมื่อมีไขมันและคอเลสเตอรอลสะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือดเป็นเวลานาน จะก่อตัวเป็นคราบแข็ง (Plaque) ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง
  • การเกิดลิ่มเลือด: บางครั้งอาจเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดที่ตีบแคบอยู่แล้ว ทำให้เลือดไม่สามารถไหลผ่านได้
  • การเสื่อมสภาพของหลอดเลือด: เมื่ออายุมากขึ้น หลอดเลือดอาจเสื่อมสภาพ แข็งตัว และตีบแคบลง
  • การอักเสบของผนังหลอดเลือด: บางกรณีอาจเกิดจากการอักเสบของผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการตีบแคบ

เมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน จะส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง ทำให้หัวใจขาดเลือดและออกซิเจน หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและเสียชีวิตได้

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาการเป็นอย่างไร

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาการเป็นอย่างไร?

อาการของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ

1. อาการแบบค่อยเป็นค่อยไป

อาการแบบค่อยเป็นค่อยไป มักเกิดจากการที่มีไขมันหรือหินปูนค่อย ๆ ไปสะสมอยู่ภายในเส้นเลือดหัวใจไปเรื่อย ๆ มักจะใช้เวลาประมาณ 7-10 ปี ทำให้ในระหว่างที่สิ่งแปลกปลอมยังไม่สะสมตัวมากนัก การไหลเวียนเลือดก็จะยังปกติอยู่ ทำให้ไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา แต่เมื่อสิ่งแปลกปลอมเริ่มสะสมตัวมากขึ้นจนทางเดินเลือดลดลงกว่า 50% ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการเหล่านี้ออกมา

  • เหนื่อยง่ายกว่าปกติเมื่อออกแรง
  • เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก เหมือนมีอะไรมาทับ
  • อาการปวดร้าวไปที่คอ กราม ไหล่ซ้าย หรือแขนซ้าย
  • เพลีย อ่อนแรง ใจสั่น

2. อาการแบบเฉียบพลัน

อาการเฉียบพลันมักเกิดจากการที่หลอดเลือดหัวใจอุดตันอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน ภายในเวลาไม่เกิน 4-6 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ เพื่อลดโอกาสการเสียชีวิตและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

  • เจ็บหน้าอกรุนแรง แน่นหน้าอกมาก หายใจไม่ออก
  • เหงื่อแตกท่วมตัว ตัวเย็น
  • หน้ามืด วิงเวียน อาจถึงขั้นหมดสติ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ?

แม้ว่าโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่มีปัจจัยบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่:

  1. อายุ: ผู้ชายที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และผู้หญิงที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงขึ้น
  2. พันธุกรรม: หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  3. โรคประจำตัว: เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
  4. พฤติกรรมเสี่ยง: การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย
  5. ภาวะอ้วน: โดยเฉพาะผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 30
  6. ความเครียด: การมีความเครียดสูงเป็นประจำ

การวินิจฉัยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

เมื่อสงสัยว่าอาจเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ แพทย์จะทำการซักถามประวัติอาการ ประวัติครอบครัว และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมถึงตรวจร่างกายเบื้องต้น เช่น วัดความดันโลหิต ฟังเสียงหัวใจ และตรวจชีพจร หรือตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)

  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
  • เป็นการตรวจจับคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ เพื่อดูความผิดปกติของการเต้นของหัวใจที่สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยจะติดขั้วไฟฟ้าบนผิวหนังของผู้ป่วยบริเวณหน้าอก แขน และขา จากนั้นเครื่อง EKG จะบันทึกสัญญาณไฟฟ้าจากการเต้นของหัวใจและแสดงผลออกมาเป็นกราฟ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์รูปแบบของคลื่นไฟฟ้าหัวใจและหาความผิดปกติ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ อย่างไรก็ตาม การตรวจ EKG อาจไม่พบความผิดปกติในผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในระยะเริ่มต้น

  • การตรวจสุขภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST)
  • เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย เพื่อดูการทำงานของหัวใจเมื่อต้องทำงานหนักขึ้น โดยวิธีนี้จะให้ผู้ป่วยเดินหรือวิ่งบนสายพานไฟฟ้า แล้วค่อย ๆ เพิ่มความเร็วและความชันขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็จะมีการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดันโลหิต และอัตราการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่อง 

    หากหลอดเลือดหัวใจมีการตีบแคบ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอกระหว่างการทดสอบ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว

  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiogram)
  • เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างภาพของหัวใจ โดยแพทย์จะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า transducer วางบนหน้าอกของผู้ป่วยและเคลื่อนไปรอบ ๆ เพื่อรับภาพของหัวใจจากมุมต่าง ๆ ซึ่งการตรวจ Echocardiogram สามารถแสดงให้เห็นขนาดและรูปร่างของหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ และการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ นอกจากนี้ยังสามารถประเมินการไหลเวียนของเลือดในห้องหัวใจและตรวจหาความผิดปกติของผนังหัวใจได้ อีกทั้งในกรณีที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ก็อาจพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของผนังหัวใจในบริเวณที่มีการขาดเลือดได้อีกด้วย

    การตรวจเอกซเรย์หัวใจ (CT Calcium Scoring)

  • การตรวจเอกซเรย์หัวใจ (CT Calcium Scoring)
  • การสะสมของแคลเซียมในผนังหลอดเลือดเป็นตัวบ่งชี้ถึงการเกิดโรคหลอดเลือดแข็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ การตรวจเอกซเรย์หัวใจจะเป็นการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อตรวจหาและวัดปริมาณแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ 

    โดยผลการตรวจจะแสดงเป็นค่าคะแนนแคลเซียม (Calcium Score) ซึ่งยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้ไม่สามารถบอกได้ว่ามีการตีบของหลอดเลือดมากน้อยเพียงใด จึงมักใช้เป็นการตรวจคัดกรองในผู้ที่มีความเสี่ยงปานกลาง

  • การฉีดสีสวนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram)
  • เป็นการตรวจที่ถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยแพทย์จะทำการสอดสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบหรือข้อมือ แล้วนำปลายสายสวนไปยังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ จากนั้นจึงฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือดและถ่ายภาพเอกซเรย์ ทำให้เห็นการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดหัวใจ สามารถระบุตำแหน่งและความรุนแรงของการตีบตันได้อย่างแม่นยำ 

    นอกจากนี้ หากพบการตีบที่รุนแรง แพทย์อาจทำการรักษาด้วยการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (stent) ได้ในคราวเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้มีความเสี่ยงบ้างเนื่องจากเป็นหัตถการที่รุกล้ำ จึงมักทำในกรณีที่สงสัยว่ามีการตีบของหลอดเลือดที่รุนแรงหรือเมื่อการตรวจวิธีอื่น ๆ ให้ผลไม่ชัดเจน

    การรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

    การรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

    การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของโรค ตำแหน่งและจำนวนหลอดเลือดที่ตีบ โรคประจำตัวอื่นๆ และความพร้อมของผู้ป่วย แพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอาการ ปรับปรุงคุณภาพชีวิต และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น สำหรับวิธีรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบมีดังนี้

    1. การรักษาด้วยยา

    เป็นวิธีการรักษาพื้นฐานสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องรับประทานยาหลายชนิดร่วมกัน และต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง การปรับหรือหยุดยาเองอาจเป็นอันตรายได้ โดยกลุ่มยาหลัก ๆ ที่ใช้ในการรักษามีดังนี้

    • ยาละลายลิ่มเลือด: เช่น แอสไพริน หรือ คลอพิโดเกรล ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ ยาเหล่านี้จะทำให้เกล็ดเลือดไม่จับตัวกันง่าย ลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
    • ยาลดไขมันในเลือด: เช่น ยากลุ่มสแตติน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ชะลอการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด และอาจช่วยลดการอักเสบของผนังหลอดเลือด
    • ยาขยายหลอดเลือด: เช่น ยากลุ่มไนเตรต ช่วยขยายหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
    • ยาลดความดันโลหิต: เช่น ยากลุ่ม ACE inhibitors หรือ Beta-blockers ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง ลดความเครียดต่อผนังหลอดเลือด

    ยาควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ: เช่น ยากลุ่ม Beta-blockers ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจใช้ออกซิเจนน้อยลง

    การทำบอลลูนหัวใจ

    2. การทำบอลลูนหัวใจ

    การทำบอลลูนหัวใจ เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ในกรณีที่มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจอย่างมีนัยสำคัญ (มักมากกว่า 70%) หรือเมื่อการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล วิธีนี้เรียกอีกอย่างว่า การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Percutaneous Coronary Intervention: PCI) ซึ่งข้อดีของการรักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจคือ ฟื้นตัวเร็ว ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลสั้น แต่อาจมีความเสี่ยงบ้าง เช่น การเกิดเลือดออก หรือการกลับมาตีบซ้ำ

    โดยขั้นตอนการทำบอลลูนหัวใจอย่างคร่าว ๆ มีดังนี้

    • แพทย์จะสอดสายสวนที่มีบอลลูนขนาดเล็กติดอยู่ที่ปลายเข้าไปในหลอดเลือดที่ขาหนีบหรือข้อมือ
    • นำสายสวนไปยังบริเวณที่หลอดเลือดหัวใจตีบ
    • ขยายบอลลูนเพื่อดันคราบไขมันให้แบนลงติดผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดกว้างขึ้น
    • ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจใส่ขดลวด (Stent) เพื่อค้ำยันหลอดเลือดให้เปิดกว้าง

    3. การผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ

    การผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ จะใช้ในกรณีที่มีการตีบตันของหลอดเลือดหลายตำแหน่ง หรือการตีบตันรุนแรงที่ไม่เหมาะกับการทำบอลลูน วิธีนี้เรียกว่า Coronary Artery Bypass Grafting (CABG) ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน เพราะเป็นการผ่าตัดใหญ่ แต่จะให้ผลการรักษาที่ดีในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีการตีบของหลอดเลือดหลายตำแหน่งหรือเป็นโรคเบาหวานร่วมด้วย

    การป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

    การป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

    นอกจากการรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้ว การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาและป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โดยการป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบสามารถทำได้โดย

    • ควบคุมอาหาร: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารไขมันสูง หวาน และเค็มจัด เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
    • ควบคุมน้ำหนัก: รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    • งดสูบบุหรี่และงดการดื่มแอลกอฮอล์
    • จัดการความเครียด: หาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ
    • ควบคุมโรคประจำตัว: หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    • ตรวจสุขภาพประจำปี: ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ ผู้ที่มีภาวะอ้วน เป็นต้น
    คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

    คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

    สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ มีคำแนะนำในการปฏิบัติตัวดังนี้

    • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ไม่ควรหยุดยาเองหรือปรับขนาดยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
    • เข้าพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง: เพื่อติดตามอาการและปรับการรักษาหากจำเป็น
    • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร: เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ปลา และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารแปรรูป และอาหารรสจัด
    • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
    • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม: ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับรูปแบบและความหนักของการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
    • หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก: ไม่ควรยกของหนักหรือทำงานที่ต้องใช้แรงมากเกินไป
    • จัดการความเครียด: หาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ
    • พักผ่อนให้เพียงพอ: ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
    • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: รวมถึงหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
    • สังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง หายใจลำบาก หรือหน้ามืดวิงเวียน ให้รีบไปพบแพทย์หรือโทรเรียกรถพยาบาลทันที
    อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

    อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

    การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ควรเน้นอาหารดังต่อไปนี้

    1. ผักและผลไม้สด: อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
    2. ธัญพืชไม่ขัดสี: เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ให้ใยอาหารสูงและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    3. โปรตีนไขมันต่ำ: เช่น ปลา ไก่ไม่ติดหนัง ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้
    4. ไขมันดี: เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว เมล็ดฟักทอง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีในเลือด
    5. อาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง: เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดเชีย วอลนัท ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
    6. เครื่องเทศและสมุนไพร: เช่น กระเทียม ขิง ขมิ้น มีสรรพคุณในการต้านการอักเสบและช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด

    ในขณะเดียวกัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารต่อไปนี้:

    1. อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง: เช่น เนื้อแดง เนื้อสัตว์ติดมัน ผลิตภัณฑ์นม
    2. อาหารแปรรูป: เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน
    3. อาหารทอด: เช่น มันฝรั่งทอด โดนัท
    4. ขนมหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
    5. อาหารที่มีโซเดียมสูง: ควรจำกัดการบริโภคเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน

    สรุปบทความ

    แม้ว่าโรคเส้นเลือดหัวใจตีบจะเป็นภัยเงียบที่อันตรายต่อร่างกาย แต่หากรู้จักสังเกตอาการ เข้าใจปัจจัยเสี่ยง และปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลสุขภาพ ก็สามารถป้องกันและรักษา รวมถึงลดความเสี่ยงและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยงหรือมีอาการของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

    สำหรับผู้ที่มีอาการต้องสงสัยหรือมีความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ PMG HOSPITAL พร้อมให้การดูแลคุณตั้งแต่การป้องกัน การตรวจวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น ไปจนถึงการรักษาฟื้นฟู โดยคุณสามารถติดต่อเราได้ผ่านช่องทางดังนี้

    บทความทางการแพทย์