รู้เร็วรักษาได้ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร ป้องกันและรักษายังไงบ้าง

โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย โดยปกติแล้วมักจะพบในผู้สูงอายุ แต่ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ในปัจจุบันสามารถพบโรคนี้ในผู้ที่มีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งความอันตรายของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบก็คือ เป็นโรคที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อมีการแสดงอาการของโรคออกมาอย่างชัดเจน
ดังนั้น เพื่อให้คุณรู้เท่าทันว่าโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีอาการอย่างไร? PMG HOSPITAL จึงรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาไว้ในบทความนี้ แล้วโรคเส้นเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร? มีอาการยังไงบ้าง? มีวิธีป้องกันและวิธีรักษาอย่างไร? ไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันได้เลย
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร?
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือที่เรียกอีกชื่อว่า โรคหลอดเลือดหัวใจ เกิดจากการที่มีสิ่งแปลกปลอมไปกีดขวางการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
- การสะสมของไขมันและคอเลสเตอรอล: เมื่อมีไขมันและคอเลสเตอรอลสะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือดเป็นเวลานาน จะก่อตัวเป็นคราบแข็ง (Plaque) ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง
- การเกิดลิ่มเลือด: บางครั้งอาจเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดที่ตีบแคบอยู่แล้ว ทำให้เลือดไม่สามารถไหลผ่านได้
- การเสื่อมสภาพของหลอดเลือด: เมื่ออายุมากขึ้น หลอดเลือดอาจเสื่อมสภาพ แข็งตัว และตีบแคบลง
- การอักเสบของผนังหลอดเลือด: บางกรณีอาจเกิดจากการอักเสบของผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการตีบแคบ
เมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน จะส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง ทำให้หัวใจขาดเลือดและออกซิเจน หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและเสียชีวิตได้

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาการเป็นอย่างไร?
อาการของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ
1. อาการแบบค่อยเป็นค่อยไป
อาการแบบค่อยเป็นค่อยไป มักเกิดจากการที่มีไขมันหรือหินปูนค่อย ๆ ไปสะสมอยู่ภายในเส้นเลือดหัวใจไปเรื่อย ๆ มักจะใช้เวลาประมาณ 7-10 ปี ทำให้ในระหว่างที่สิ่งแปลกปลอมยังไม่สะสมตัวมากนัก การไหลเวียนเลือดก็จะยังปกติอยู่ ทำให้ไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา แต่เมื่อสิ่งแปลกปลอมเริ่มสะสมตัวมากขึ้นจนทางเดินเลือดลดลงกว่า 50% ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการเหล่านี้ออกมา
- เหนื่อยง่ายกว่าปกติเมื่อออกแรง
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก เหมือนมีอะไรมาทับ
- อาการปวดร้าวไปที่คอ กราม ไหล่ซ้าย หรือแขนซ้าย
- เพลีย อ่อนแรง ใจสั่น
2. อาการแบบเฉียบพลัน
อาการเฉียบพลันมักเกิดจากการที่หลอดเลือดหัวใจอุดตันอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน ภายในเวลาไม่เกิน 4-6 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ เพื่อลดโอกาสการเสียชีวิตและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
- เจ็บหน้าอกรุนแรง แน่นหน้าอกมาก หายใจไม่ออก
- เหงื่อแตกท่วมตัว ตัวเย็น
- หน้ามืด วิงเวียน อาจถึงขั้นหมดสติ
- คลื่นไส้ อาเจียน

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ?
แม้ว่าโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่มีปัจจัยบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยง ได้แก่:
- อายุ: ผู้ชายที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และผู้หญิงที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงขึ้น
- พันธุกรรม: หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
- โรคประจำตัว: เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
- พฤติกรรมเสี่ยง: การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย
- ภาวะอ้วน: โดยเฉพาะผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 30
- ความเครียด: การมีความเครียดสูงเป็นประจำ
การวินิจฉัยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
เมื่อสงสัยว่าอาจเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ แพทย์จะทำการซักถามประวัติอาการ ประวัติครอบครัว และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมถึงตรวจร่างกายเบื้องต้น เช่น วัดความดันโลหิต ฟังเสียงหัวใจ และตรวจชีพจร หรือตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

เป็นการตรวจจับคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ เพื่อดูความผิดปกติของการเต้นของหัวใจที่สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยจะติดขั้วไฟฟ้าบนผิวหนังของผู้ป่วยบริเวณหน้าอก แขน และขา จากนั้นเครื่อง EKG จะบันทึกสัญญาณไฟฟ้าจากการเต้นของหัวใจและแสดงผลออกมาเป็นกราฟ เพื่อให้แพทย์วิเคราะห์รูปแบบของคลื่นไฟฟ้าหัวใจและหาความผิดปกติ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ อย่างไรก็ตาม การตรวจ EKG อาจไม่พบความผิดปกติในผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในระยะเริ่มต้น
เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย เพื่อดูการทำงานของหัวใจเมื่อต้องทำงานหนักขึ้น โดยวิธีนี้จะให้ผู้ป่วยเดินหรือวิ่งบนสายพานไฟฟ้า แล้วค่อย ๆ เพิ่มความเร็วและความชันขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็จะมีการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดันโลหิต และอัตราการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่อง
หากหลอดเลือดหัวใจมีการตีบแคบ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอกระหว่างการทดสอบ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ที่มีปัญหาการเคลื่อนไหว หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว
เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างภาพของหัวใจ โดยแพทย์จะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า transducer วางบนหน้าอกของผู้ป่วยและเคลื่อนไปรอบ ๆ เพื่อรับภาพของหัวใจจากมุมต่าง ๆ ซึ่งการตรวจ Echocardiogram สามารถแสดงให้เห็นขนาดและรูปร่างของหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ และการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ นอกจากนี้ยังสามารถประเมินการไหลเวียนของเลือดในห้องหัวใจและตรวจหาความผิดปกติของผนังหัวใจได้ อีกทั้งในกรณีที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ก็อาจพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของผนังหัวใจในบริเวณที่มีการขาดเลือดได้อีกด้วย

การสะสมของแคลเซียมในผนังหลอดเลือดเป็นตัวบ่งชี้ถึงการเกิดโรคหลอดเลือดแข็ง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ การตรวจเอกซเรย์หัวใจจะเป็นการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อตรวจหาและวัดปริมาณแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ
โดยผลการตรวจจะแสดงเป็นค่าคะแนนแคลเซียม (Calcium Score) ซึ่งยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้ไม่สามารถบอกได้ว่ามีการตีบของหลอดเลือดมากน้อยเพียงใด จึงมักใช้เป็นการตรวจคัดกรองในผู้ที่มีความเสี่ยงปานกลาง
เป็นการตรวจที่ถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยแพทย์จะทำการสอดสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบหรือข้อมือ แล้วนำปลายสายสวนไปยังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ จากนั้นจึงฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือดและถ่ายภาพเอกซเรย์ ทำให้เห็นการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดหัวใจ สามารถระบุตำแหน่งและความรุนแรงของการตีบตันได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ หากพบการตีบที่รุนแรง แพทย์อาจทำการรักษาด้วยการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (stent) ได้ในคราวเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้มีความเสี่ยงบ้างเนื่องจากเป็นหัตถการที่รุกล้ำ จึงมักทำในกรณีที่สงสัยว่ามีการตีบของหลอดเลือดที่รุนแรงหรือเมื่อการตรวจวิธีอื่น ๆ ให้ผลไม่ชัดเจน

การรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของโรค ตำแหน่งและจำนวนหลอดเลือดที่ตีบ โรคประจำตัวอื่นๆ และความพร้อมของผู้ป่วย แพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอาการ ปรับปรุงคุณภาพชีวิต และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น สำหรับวิธีรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบมีดังนี้
1. การรักษาด้วยยา
เป็นวิธีการรักษาพื้นฐานสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องรับประทานยาหลายชนิดร่วมกัน และต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง การปรับหรือหยุดยาเองอาจเป็นอันตรายได้ โดยกลุ่มยาหลัก ๆ ที่ใช้ในการรักษามีดังนี้
- ยาละลายลิ่มเลือด: เช่น แอสไพริน หรือ คลอพิโดเกรล ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ ยาเหล่านี้จะทำให้เกล็ดเลือดไม่จับตัวกันง่าย ลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- ยาลดไขมันในเลือด: เช่น ยากลุ่มสแตติน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ชะลอการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด และอาจช่วยลดการอักเสบของผนังหลอดเลือด
- ยาขยายหลอดเลือด: เช่น ยากลุ่มไนเตรต ช่วยขยายหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
- ยาลดความดันโลหิต: เช่น ยากลุ่ม ACE inhibitors หรือ Beta-blockers ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง ลดความเครียดต่อผนังหลอดเลือด
ยาควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ: เช่น ยากลุ่ม Beta-blockers ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจใช้ออกซิเจนน้อยลง

2. การทำบอลลูนหัวใจ
การทำบอลลูนหัวใจ เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ในกรณีที่มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจอย่างมีนัยสำคัญ (มักมากกว่า 70%) หรือเมื่อการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล วิธีนี้เรียกอีกอย่างว่า การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน (Percutaneous Coronary Intervention: PCI) ซึ่งข้อดีของการรักษาด้วยการทำบอลลูนหัวใจคือ ฟื้นตัวเร็ว ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลสั้น แต่อาจมีความเสี่ยงบ้าง เช่น การเกิดเลือดออก หรือการกลับมาตีบซ้ำ
โดยขั้นตอนการทำบอลลูนหัวใจอย่างคร่าว ๆ มีดังนี้
- แพทย์จะสอดสายสวนที่มีบอลลูนขนาดเล็กติดอยู่ที่ปลายเข้าไปในหลอดเลือดที่ขาหนีบหรือข้อมือ
- นำสายสวนไปยังบริเวณที่หลอดเลือดหัวใจตีบ
- ขยายบอลลูนเพื่อดันคราบไขมันให้แบนลงติดผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดกว้างขึ้น
- ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจใส่ขดลวด (Stent) เพื่อค้ำยันหลอดเลือดให้เปิดกว้าง
3. การผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ
การผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ จะใช้ในกรณีที่มีการตีบตันของหลอดเลือดหลายตำแหน่ง หรือการตีบตันรุนแรงที่ไม่เหมาะกับการทำบอลลูน วิธีนี้เรียกว่า Coronary Artery Bypass Grafting (CABG) ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน เพราะเป็นการผ่าตัดใหญ่ แต่จะให้ผลการรักษาที่ดีในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีการตีบของหลอดเลือดหลายตำแหน่งหรือเป็นโรคเบาหวานร่วมด้วย

การป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
นอกจากการรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้ว การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาและป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โดยการป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบสามารถทำได้โดย
- ควบคุมอาหาร: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารไขมันสูง หวาน และเค็มจัด เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
- ควบคุมน้ำหนัก: รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- งดสูบบุหรี่และงดการดื่มแอลกอฮอล์
- จัดการความเครียด: หาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ
- ควบคุมโรคประจำตัว: หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ตรวจสุขภาพประจำปี: ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ ผู้ที่มีภาวะอ้วน เป็นต้น

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ มีคำแนะนำในการปฏิบัติตัวดังนี้
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ไม่ควรหยุดยาเองหรือปรับขนาดยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- เข้าพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง: เพื่อติดตามอาการและปรับการรักษาหากจำเป็น
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร: เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ปลา และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารแปรรูป และอาหารรสจัด
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม: ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับรูปแบบและความหนักของการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก: ไม่ควรยกของหนักหรือทำงานที่ต้องใช้แรงมากเกินไป
- จัดการความเครียด: หาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น การฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ
- พักผ่อนให้เพียงพอ: ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: รวมถึงหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
- สังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง หายใจลำบาก หรือหน้ามืดวิงเวียน ให้รีบไปพบแพทย์หรือโทรเรียกรถพยาบาลทันที

อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ควรเน้นอาหารดังต่อไปนี้
- ผักและผลไม้สด: อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
- ธัญพืชไม่ขัดสี: เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ให้ใยอาหารสูงและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- โปรตีนไขมันต่ำ: เช่น ปลา ไก่ไม่ติดหนัง ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้
- ไขมันดี: เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว เมล็ดฟักทอง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีในเลือด
- อาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง: เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดเชีย วอลนัท ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
- เครื่องเทศและสมุนไพร: เช่น กระเทียม ขิง ขมิ้น มีสรรพคุณในการต้านการอักเสบและช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือด
ในขณะเดียวกัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารต่อไปนี้:
- อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง: เช่น เนื้อแดง เนื้อสัตว์ติดมัน ผลิตภัณฑ์นม
- อาหารแปรรูป: เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน
- อาหารทอด: เช่น มันฝรั่งทอด โดนัท
- ขนมหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
- อาหารที่มีโซเดียมสูง: ควรจำกัดการบริโภคเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน
สรุปบทความ
แม้ว่าโรคเส้นเลือดหัวใจตีบจะเป็นภัยเงียบที่อันตรายต่อร่างกาย แต่หากรู้จักสังเกตอาการ เข้าใจปัจจัยเสี่ยง และปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลสุขภาพ ก็สามารถป้องกันและรักษา รวมถึงลดความเสี่ยงและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยงหรือมีอาการของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
สำหรับผู้ที่มีอาการต้องสงสัยหรือมีความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ PMG HOSPITAL พร้อมให้การดูแลคุณตั้งแต่การป้องกัน การตรวจวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น ไปจนถึงการรักษาฟื้นฟู โดยคุณสามารถติดต่อเราได้ผ่านช่องทางดังนี้
- โทร: 02-451-4920-8
- LINE: https://line.me/R/ti/p/%40742nwwnk
- แผนที่โรงพยาบาล: https://maps.app.goo.gl/qg4hBHhmiR7VfRY9A
- นัดหมายแพทย์ด้วยตัวเอง: https://pmghospital.in.th/appointment/