ฝังยาคุมกำเนิด ดีอย่างไร? ช่วยอะไรได้บ้าง? ท้องไม่พร้อม ป้องกันได้

ฝังยาคุมกำเนิด ดีอย่างไร? ช่วยอะไรได้บ้าง? ท้องไม่พร้อม ป้องกันได้

ในปัจจุบันมีวิธีการคุมกำเนิดให้เลือกใช้อยู่หลายวิธี ซึ่งการฝังเข็มยาคุมกำเนิด เป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และยังสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เป็นระยะเวลานาน เมื่อเทียบกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น กินยาคุมกำเนิด ฉีดยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงคุมกำเนิด แปะแผ่นยาคุมกำเนิด ใส่ถุงยางอนามัย การนับวัน การหลั่งภายนอก เป็นต้น จึงทำให้ได้รับความสนใจในผู้ที่ยังไม่พร้อมตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

แล้วการฝังเข็มยาคุมกำเนิดดีอย่างไร? เหมาะกับใคร? ตัวยาสำคัญและการออกฤทธิ์ รวมถึงประสิทธิภาพในป้องกันการตั้งครรภ์เป็นอย่างไร? มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ และข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง? ในบทความนี้ PMG HOSPITAL รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาให้คุณแล้ว

 

สารบัญ ฝังยาคุมกำเนิด

 

1. ยาฝังคุมกำเนิด คืออะไร?

2. ยาฝังคุมกำเนิด มีกี่ประเภท?

3. อาการต้องสงสัย โรคหัวใจ

4. ใครบ้างที่เสี่ยงโรคหัวใจ

5. จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคหัวใจ

6. วิธีรักษาโรคหัวใจ

 

ยาฝังคุมกำเนิด คืออะไร ?

ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive Implant) คือ วิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง และมีการใช้มานานแล้วเกือบ 40 ปี สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวยา โดยตัวยาสำคัญที่ใช้จะเป็นฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสติน (Progestin) เช่น เลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) และเอโทโนเจสเตรล (Etonogestrel) เป็นต้น บรรจุไว้ในหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็ก ๆ ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร

ยาฝังคุมกำเนิดมี 3 ประเภท

 

1. ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 6 หลอด

ลักษณะเป็นแคปซูลซิลิโคนขนาด 2.4 มิลลิเมตร x 34 มิลลิเมตร แต่ละแท่งมีตัวยาเลโวนอร์เจสเตรล 36 มิลลิกรัม ใช้คุมกำเนิดนาน 5 ปี เช่น Norplant (นอร์แพลนท์) แต่เนื่องจากการฝังยาและเอาออก ใช้เวลานานและมีรอยแผลขนาดเล็ก ทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมและยกเลิกใช้ไป

2. ยาฝังคุมกำเนิดชนิด 2 หลอด

ลักษณะเป็นหลอดซิลิโคนขนาด 2.5 มิลลิเมตร x 43 มิลลิเมตร สามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี แต่ละแท่งจะมีเลโวนอร์เจสเตรล 75 มิลลิกรัม เช่น Jadelle (จาเดลล์) แม้การฝังยาและเอาออกจะมีรอยแผลขนาดเล็กเช่นเดียวกัน แต่ด้วยระยะเวลาที่สามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 5 ปี จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

3. ยาฝังกำเนิดชนิด 1 หลอด

ลักษณะเป็นแท่งซิลิโคนขนาด 2 มิลลิเมตร x 40 มิลลิเมตร สามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นาน 3 ปี มี เอโทโนเจสเตรล 68 มิลลิกรัม เช่น Implanon (อิมพลานอน) มาพร้อมอุปกรณ์สำหรับการฝังหลอดยา ทำให้ทำได้สะดวกขึ้นมาก ไม่ต้องมีรอยแผลผ่า และเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดก็สามารถถอดออกได้โดยง่าย มีรอยแปลขนาดเล็กเท่านั้น และฝังแท่งใหม่เข้าไปได้เลย

ยาคุมกำเนิดชนิดฝังเหมาะกับใคร

ยาคุมกำเนิดชนิดฝังเหมาะกับใคร ?

  • ผู้ที่ต้องการวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง
  • ผู้ที่คิดจะคุมกำเนิดในระยะเวลานาน ๆ 3-5 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่ชอบลืมรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อย ๆ
  • ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น เช่น คุณแม่ให้นมบุตรสามารถใช้ได้

และเพื่อให้ยาคุมสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็มีข้อควรรู้ที่ผู้เข้ารับบริการควรทราบไว้เช่นกัน ดังนี้

  • ผู้ที่ต้องการฝังเข็มยาคุม ควรเข้ามารับบริการระหว่างวันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือน (ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน)
  • สำหรับผู้ที่เพิ่งคลอดบุตรควรเข้ามารับบริการภายใน 4-6 สัปดาห์หลังคลอด
  • ในกรณีที่แท้งบุตรตามธรรมชาติ สามารถเข้ารับบริการได้ทันที หรือภายใน 2-3 สัปดาห์หลังแท้งบุตร

ยาคุมกำเนิดชนิดฝังทำงานยังไง?

ภายในหลอดหรือแท่งพลาสติกที่ใช้ในการฝังเข็มยาคุม จะมีการบรรจุตัวยาโปรเจสติน (Progestin) ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญในการคุมกำเนิดเข้าไป และเมื่อฝังยาคุมกำเนิดเข้าสู่ผิวหนังแล้ว โปรเจสตินที่อยู่ในหลอดยาจะซึมผ่านไปยังเนื้อเยื่อรอบ ๆ และถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ ดังนี้

  • ยับยั้งการตกไข่ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญในการป้องกันการตั้งครรภ์
  • ลดปริมาณมูกปากมดลูกและทำให้มูกปากมดลูกข้นหนืดจึงขัดขวางการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิ
  • ลดการโบกพัดของขนอ่อนในท่อนำไข่
  • ลดขนาดและลดจำนวนต่อม ซึ่งทำหน้าที่สร้างสารคัดหลั่งที่เยื่อบุมดลูก

ขั้นตอนการฝังยาคุมกำเนิด

ขั้นตอนการฝังยาคุมกำเนิด

 

การเตรียมตัวก่อนฝังเข็มยาคุมกำเนิด ต้องมั่นใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่และผ่านการตรวจการตั้งครรภ์แล้ว เพราะยาที่ฝังจะมีผลในทันที โดยการฝังเข็มยาคุมมีขั้นตอน ดังนี้

  • แพทย์จะทำความสะอาดผิวหนังด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  • ฉีดยาชาเฉพาะที่ไปที่บริเวณใต้ท้องแขนที่จะฝังยาเข้าไป
  • ใช้เข็มเปิดแผลที่ท้องแขนขนาด 0.3 เซนติเมตร
  • สอดใส่แท่งที่มีหลอดยาบรรจุอยู่เข้าไปในเข็มนำ
  • เมื่อหลอดยาเข้าไปใต้ผิวหนังเรียบร้อยแล้ว นำเข็มและแท่งนำหลอดยาออก
  • ปิดแผลด้วยปลาสเตอร์เล็ก ๆ ตามด้วยผ้าพันแผลพันทับอีกชั้นหนึ่ง
  • แพทย์จะให้ยาแก้ปวดกลับไปรับประทาน หากมีอาการปวดแผล

การฝังยาคุมกำเนิดใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 10-20 นาที หลังฝังยาคุมกำเนิดเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะลองจับบริเวณที่ฝัง เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของยาที่ฝังเข้าไป หรือหากมีความจำเป็นอาจต้องทำอัลตราซาวด์หรือ X-Ray เพื่อยืนยันว่ายาฝังคุมกำเนิดได้ถูกฝังเอาไว้อย่างถูกต้อง

การดูแลตัวเองหลังฝังยาคุม

 

  • หลัง 24 ชั่วโมง สามารถนำผ้าพันแผลออกได้ แต่ยังคงเหลือปลาสเตอร์ปิดแผลเอาไว้
  • หลัง 3-5 วัน นำปลาสเตอร์ปิดแผลออกได้ ระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำ
  • งดการมีเพศสัมพันธ์หรือให้คุมกำเนิดด้วยการใช้ถุงยางอนามัยเป็นเวลา 7 วัน
  • ครบ 7 วัน แพทย์จะนัดมาดูแผลอีกครั้ง
  • เมื่อครบกำหนด 3-5 ปี มาเปลี่ยนยาคุมกำเนิดแท่งเดิมออก เพราะประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะลดลงและฝังยาคุมกำเนิดแท่งใหม่

ข้อควรระวังหลังรับยาฝังคุมกำเนิด

ข้อควรระวังหลังรับยาฝังคุมกำเนิด

 

ผลไม่พึงประสงค์ของยาคุมกำเนิดชนิดฝัง อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งในบริเวณที่ฝังยาและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งหากมีการใช้ยาอื่นร่วมด้วย ดังนี้

1. ผลไม่พึงประสงค์บริเวณที่ฝังแท่งยา

อาการที่พบ เช่น เจ็บ บวม คัน ระคายผิว รอยช้ำ เกิดการติดเชื้อและแผลเป็น ผิวหนังฝ่อ เกิดพังผืดรอบแท่งยาโดยเฉพาะหากมีการติดเชื้อ นอกจากนี้หากฝังแท่งยาไม่ถูกต้องอาจเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาท การฝังแท่งยาตื้นเกินไปอาจทำให้รู้สึกเจ็บ รบกวนการรับความรู้สึกที่ผิวหนังบริเวณที่ฝังแท่งยาและเกิดผิวหนังอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อ

ส่วนการฝังแท่งยาใต้ผิวหนังลึกจะเสี่ยงต่อการเคลื่อนที่ของแท่งยาไปตำแหน่งอื่น ทำให้ตัวยาปล่อยสู่กระแสเลือดมากขึ้น

และยังเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากแท่งยาได้เชื้อ

2. ผลไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้น

ในช่วง 2-3 เดือนแรก อาจเกิดผลไม่พึงประสงค์ เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติ, ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ, เจ็บคัดเต้านม, คลื่นไส้, ปวดท้อง, อารมณ์แปรปรวน, ซึมเศร้า, ช่องคลอดอักเสบและแห้ง, สิว, ฝ้า, บวมน้ำ, น้ำหนักตัวเพิ่ม เมื่อเวลาผ่านไป ผลข้างเคียงเหล่านี้จะหายไปเอง แต่ถ้าหากพบว่ามีอาการต่อไปหรือพบว่ามีผลข้างเคียงอื่น ๆ เกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์

3. ผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ร่วมกับยาอื่น

ยาฝังคุมกำเนิดอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่ใช้ร่วมกัน ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มการสร้างเอนไซม์ที่เปลี่ยนแปลงยาฮอร์โมนในกลุ่มโพรเจสติน ไปเป็นสารอื่นที่ไม่มีฤทธิ์ ทำให้ระดับยาในเลือดลดลง ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลงได้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าใช้ยาอะไรอยู่เป็นประจำ

 

การฝังเข็มยาคุมกำเนิดมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?

การฝังเข็มยาคุมกำเนิดมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง

ข้อดีของการฝังเข็มยาคุมกำเนิด

  • ประสิทธิภาพสูง ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวยา
  • อัตราความล้มเหลวในการป้องกันการตั้งครรภ์ต่ำ ไม่เกิน 0.1%
  • สะดวกกว่าการนับวันตกไข่ กินยาคุมกำเนิด หรือฉีดยาคุมกำเนิด
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว เมื่อเทียบกับระยะเวลาคุมกำเนิด
  • ไม่มีฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตเจน จึงปลอดจากภาวะไม่พึงประสงค์ของเอสโตรเจน ความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
  • ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำ และใช้ได้ในผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาที่มีเอสโตรเจน
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว เมื่อเทียบกับระยะเวลาคุมกำเนิด

ข้อเสียของการฝังเข็มยาคุมกำเนิด

  • ไม่สามารถเริ่มใช้หรือหยุดใช้ด้วยตนเอง การฝังแท่งยาและการนำแท่งยาออก ต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์
  • อาจเกิดผลไม่พึงประสงค์ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ, ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ, เจ็บคัดเต้านม, คลื่นไส้, ปวดท้อง, อารมณ์แปรปรวน, ซึมเศร้า, รบกวนความรู้สึกทางเพศ, ช่องคลอดอักเสบและแห้ง, เกิดสิว ฝ้า, บวมน้ำ, น้ำหนักตัวเพิ่ม
  • หากฝังไม่ถูกวิธี อาจเกิดอันตรายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาท
  • หากฝังยาลึกเกินไป อาจเกิดการเคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง กระทบการออกฤทธิ์ของยา และเกิดอันตรายจากแท่งยาได้
  • อาจเกิดอาการข้างเคียง เช่น เจ็บ, บวม, ช้ำ, ระคายเคือง, ติดเชื้อ, ผิวหนังฝ่อ และเกิดพังผืดรอบแท่งยา
  • ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ต่างจากการใช้ถุงยางอนามัย

ฝังยาคุมกำเนิด

แผนกสูติ-นรีเวชกรรมที่ PMG HOSPITAL มีบริการคุมกำเนิดให้คุณเลือกหลากหลายวิธี ทั้งการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด, การฉีดยาคุมกำเนิด และการฝังยาคุมกำเนิด โดยมีทีมสูตินรีแพทย์และพยาบาลวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญคอยดูแลและให้คำปรึกษา สำหรับค่าใช้จ่ายในการฝังเข็มยาคุมกำเนิด ชนิด 2 หลอด คุมกำเนิดได้ 5 ปี ราคา 6,500.-*

หมายเหตุ: ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์และบริการแล้ว

 

รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฝังเข็มยาคุมกำเนิด

 

1. ยาฝังคุมกำเนิด แพงไหม ?

ยาฝังคุมกำเนิด มีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับระยะเวลาคุมกำเนิด ซึ่งจะแตกต่างกันแล้วแต่สถานที่รับบริการ โดยค่าใช้จ่ายในการฝังยาคุมกำเนิดที่ PMG HOSPITAL จะอยู่ที่ 6,500.-

2. ขั้นตอนการฝังยาคุมเจ็บไหม ?

การฝังยาคุมกำเนิด อาจรู้สึกเจ็บ แต่เป็นความเจ็บแบบทนได้ เนื่องจากต้องฝังบริเวณท้องแขนด้านใน แต่จะมีอุปกรณ์พิเศษในการใส่ยาเข้าไป

มีขนาดรอยแผลไม่ถึง 1 เซนติเมตร และจะมีการฉีดยาชาก่อนทำ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเจ็บ หรืออาจมีอาการข้างเคียง เช่น รอยช้ำ ปวด ตึงรั้งบริเวณท้องแขน อาการเหล่านี้เป็นปกติสามารถหายได้เอง หรือรับประทานแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้

3. หลังยาฝังคุมกำเนิด มีเพศสัมพันธ์ ได้เมื่อไหร่ ?

สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ หลังฝังยาคุมกำเนิดเป็นเวลา 7 วัน

4. หลังยาฝังคุมกำเนิด แล้วตั้งครรภ์เกิดจากสาเหตุใด ?

ยาฝังคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพสูงในการตั้งครรภ์ แต่ก็พบว่ามี 0.05-0.1% ที่เกิดการตั้งครรภ์ หรือ 1 ใน 1,000 คน สาเหตุอาจเกิดได้จาก แท่งยาคุมชำรุด เกิดการหัก หรือเคลื่อนที่ เปลี่ยนตำแหน่ง สาเหตุเหล่านี้ ทำให้ยาถูกปล่อยออกมาและดูดซึมเข้ากระแสเลือดเร็วเกินไป จนไม่เหลือเพียงพอที่จะป้องกันการตั้งครรภ์ในระยะเวลาที่กำหนด ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งหากเกิดการตั้งครรภ์จะมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้มากกว่าปกติ

 

สรุปบทความ

การฝังยาคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง ปัจจุบันมีใช้อยู่ 2 ประเภท สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวยา โดยแพทย์จะฝังยาคุมกำเนิดไว้ที่ท้องแขนด้านใน เหมาะกับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดในระยะเวลานาน ด้วยวิธีที่ปลอดภัย สะดวก เห็นผลเร็ว และมีความคุ้มค่า หากต้องการตั้งครรภ์ เพียงแค่นำยาฝังคุมกำเนิดออก ก็มีโอกาสกลับมาตั้งครรภ์ได้ตามปกติ

สำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมตั้งครรภ์ และกำลังมองหาวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน แต่ยังมีข้อสงสัย หรือมีความกังวลเกี่ยวกับการฝังเข็มยาคุม PMG HOSPITAL พร้อมให้การดูแลและให้คำปรึกษาโดยทีมสูตินรีแพทย์ด้วยความใส่ใจ โดยคุณสามารถติดต่อเราได้ผ่านช่องทางดังนี้